จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การตลาดแบบโชห่วย แต่ไม่ห่วย

       ผมคิดว่า จากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่การแข่งขันสูงขึ้นทุกขณะ กิจการยักษ์ใหญ่มีการควบรวมกิจการ ( take over) กันมากขึ้น รวมไปถึงการขยายสาขา ของร้านค้าสะดวกซื้อ แบรนต์เนม อันจะส่งผลกระทบ กับกิจการโชห่วย ในปัจจุบัน ผมมองว่า ถึงแม้อัตราการขยายตัวของร้านสะดวกซื้อจะสูง แต่ก็ยังไม่ครอบคลุม ทุกพื้นที่ และเมื่อเทียบอัตราส่วนร้านสะดวกซื้อ ต่อประชากรแล้ว ผมยังมองว่าต่ำ เนื่องจาก ร้านสะดวกซื้อยังมีแผนการขยายกิจการ ขยายสาขานั่นแสดงว่า บริษัทเอง ก็คำนึงแล้วว่ากิจการของตน ยังไม่ครอบคลุม นั่นหมายถึงร้านโชห่วย ยังมีโอกาสที่จะเติบโต แต่ ต้องปรับตนเอง ให้เข้มแข็ง และต้องมีแผนการบริหารร้านของตน ให้เป็นไปตามรายได้สูงสุด ที่ควรจะได้รับจากการดำเนินกิจการ กิจการร้านโชห่วย ไม่ได้มีรายได้แค่เพียงจากการขายสินค้า ในร้านค้าของตนเท่านั้น การบริหารจัดการพื้นที่ในร้านค้า ก็มีความสำคัญ เนื่องจากรายได้  ที่เจ้าของร้านจะได้รับ ยังสามารถได้มาจาก การขายพื้นที่ สำหรับการวางสินค้าในร้าน เช่น ค่าหัวชั้น หรือแม้กระทั่ง การจัดให้ร้านมีพื้นที่ว่าง สำหรับให้บริษัทต่างๆ มาเช่าเพื่อการตั้งกองโชว์สินค้า หรือการประชาสัมพันธ์สินค้าของตน นั่นหมายความว่า การมีสินค้ามากเกินไปในร้าน หรือมีสินค้าที่หลากหลายเกินความต้องการ มิได้เป็นผลดีกับร้านเสมอไป สินค้าในร้านยิ่งมาก ทุนที่นอนอยู่ในร้านก็มากเช่นกัน กำไรคือสต๊อก สินค้านั่นเอง การมีรายการ ลด แลก แจก แถม ทำกันมานาน เป็นการตลาดแบบโชห่วย แต่ไม่ห่วย ยังสามารถใช้ได้ในปัจจุบัน และยังสามารถใช้ได้ตลอดไป เนื่องจากตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้โดนใจลูกค้าที่สุด ไม่ว่าจะมีทฤษฏี การตลาดใด ใหม่แค่ไหน หรือการตลาด แบบ ATL & BTL จะเป็น 8P หรือ อื่นๆ ผมมองว่าก็ไม่พ้น ลด แลก แจก แถม ซึ่งผมคิดว่า ได้ผลที่สุด อาจจะกล่าวได้ว่า สูงสุด กลับสู่ สามัญ ดังนั้น การตลาดแบบโชห่วย แต่ไม่ห่วย คือ การ ลด แลก แจก แถม นั่นเองคับ

         การจัดร้านเพื่อใช้พื้นที่ที่มีอย่างจำกัด สองภาพ ข้างต้น สามารถเป็นตัวอย่างที่ดี ที่อธิบายถึงการวางโชว์สินค้า ร้านที่โชว์ อย่างเป็นระเปียบมีการแยกหมวดหมู่สินค้า มีโอกาส ได้รับเงินช่วยเหลือจากบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ มากกว่าร้านที่ไม่จัดเรียง ภาพที่สอง สะดวกในการหยิบซื้อ หยิบขาย และ FIFO ได้ง่ายกว่า ภาพแรก คาดว่าเป็นผลจากการที่เจ้าของร้านมีทุนมาก ซึ่งสามารถที่จะ แบกภาระต้นทุนได้ เหตุจากสามารถซื้อสิ้นค้าเข้าร้านในปริมาณมากได้ นั่นคือ ซื้อ volume เพื่อให้ต้นทุนสินค้าต่ำลง จึงสามารถลดราคาสินค้าให้กับลูกค้าได้ แต่ในการขายจะเสียเวลามาก เนื่องจากต้องค้นสินค้า หลายครั้งพบว่าสินค้าไม่มีการ หมุนเวียน โดยเฉพาะสินค้าที่มี shelf life สั้นๆ และการกองสินค้ารวมๆกันโดยไม่แยก ของกิน กับของใช้ จะสงผลต่อ ความปลอดภัยของผู้บริโภค
        ดังนั้นการจัดเรียงสินค้าในร้าน และการจัดสรรพื้นที่ในร้านค้าให้ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะขายง่ายแล้ว ยังสามารถ จัดการเรื่องการเงินได้ง่ายอีกด้วย สินค้าเสียหายก็ดูรู้ หมดจากชั้นก็นำมาเติม ส่วนสินค้าใดที่อยู่บนชั้น นานๆ ไม่ได้ขาย ก็สามารถวางแผนการ ลด แลก แจก แถม ได้ทันที ไม่ต้องรอให้หมดอายุ และขาดทุนในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น